ดันเจียนส์ & ดราก้อนส์ จากบอร์ดเกมยอดนิยม สู่หนังภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์

ดันเจียนส์ & ดราก้อนส์ จากบอร์ดเกมยอดนิยม สู่หนังภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์

เรียกได้ว่าเป็น ภาพยนตร์ แอ็คชั่นผจญภัยที่น่าสนุกเป็นอย่างมากสำหรับ ดันเจียนส์ & ดราก้อนส์ : เกียรติยศในหมู่โจร (Dungeons & Dragons: Honor Among Thieves) ผลงานของผู้กำกับสองคน John Francis Daley และ Jonathan Goldstein ที่ใช้ บอร์ดเกม เกมกระดานสวมบทบาทหรือ RPG (เกมสวมบทบาท) ) Dungeons & Dragons สุดคลาสสิกได้รับการดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์แล้ว THE STANDARD POP ถือโอกาสเชิญชวนให้ผู้ชมสำรวจเรื่องราวของเกมกระดาน Dungeons & Dragons ดั้งเดิมเป็นการอุ่นเครื่องก่อนออกผจญภัยเพื่อหยุดยั้งปีศาจ

ดันเจียนส์ & ดราก้อนส์ จากบอร์ดเกมยอดนิยม สู่หนังภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์

กำเนิดของ ดันเจียนส์ & ดราก้อนส์

Dungeons & Dragons บอร์ดเกมสุดคลาสสิก หรือตัวย่อ D&D เป็นเกมกระดาน RPG ที่สร้างขึ้นในปี 1974 โดย Gary Gygax และ Dave Arneson และเผยแพร่โดย Tactical Studies Rules (TSR) ก่อนที่จะเปลี่ยนผู้จัดพิมพ์เป็น Wizards of the ชายฝั่งมาจนถึงปัจจุบัน
Dungeons & Dragons เริ่มต้นเมื่อ Dave Arneson เริ่มสนใจ Chainmail เกมจำลองสงครามยุคกลางที่สร้างโดย Gary Gygax และ Jeff Perren ซึ่งมีกฎการใช้เวทมนตร์และสัตว์ประหลาด เพื่อให้เกมล่าช้าเล็กน้อย Dave Arneson จึงนำกฎเหล่านั้นมาขยายไปสู่เกมแฟนตาซีเต็มรูปแบบ ได้รับแรงบันดาลใจจากเกมกระดานแฟนตาซีมากมาย เช่น Braunstein และนวนิยายแฟนตาซีในตำนานเรื่อง The Lord of the Rings โดย J.R.R. Tolkien ส่งผลให้เกิดเกมชื่อ Blackmoor ที่ผู้เล่นสวมบทบาทเป็นตัวละครที่ออกเดินทางสำรวจ ดันเจี้ยนใต้ดินที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอันตราย พร้อมกับการพัฒนาตัวละครและความก้าวหน้าของเรื่องราวในแต่ละยุคสมัย
หลังจากที่ Dave Arneson ออกแบบเกม Blackmoor ได้สักพัก เขาก็ไปพบกับ Gary Gygax เพื่อแนะนำเกมที่เขาคิดค้นขึ้นมา Gary Gygax เล่นเกมนี้กับลูกๆ ของเขา ในท้ายที่สุด Gary Gygax และ Dave Arneson ได้ทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาเกมให้สมบูรณ์แบบ ระบบเลือกคลาสตัวละครทั้งหมด สะสมแต้มประสบการณ์ต่างๆ ใช้เวทย์มนตร์ ฯลฯ จนสร้างเกมกระดานชื่อ Dungeons & Dragons ในที่สุด

เกมสวมบทบาทที่ผู้เล่นสามารถผจญภัยได้อย่างอิสระในโลกแฟนตาซี

รูปแบบการเล่นพื้นฐานของ Dungeons & Dragons ประกอบด้วยผู้เล่นหนึ่งคนที่ทำหน้าที่เป็น Dungeon Master หรือ DM ซึ่งควบคุมรูปแบบการเล่นและเรื่องราวทั้งหมดของเกม ผู้สวมบทบาทเป็น DM จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับระบบการเล่นเกมและกฎของเกมรวมถึงเนื้อเรื่องด้วย การทอยลูกเต๋า รายละเอียดตัวละคร มอนสเตอร์ และรายละเอียดของไอเทมต่างๆ ซึ่งสามารถศึกษาได้จากหนังสือคู่มือต่างๆ
ในขณะที่ผู้เล่นคนอื่นๆ เราจะสร้างตัวละครที่เราต้องสวมบทบาทมาสร้างปาร์ตี้ที่จะออกผจญภัยด้วยกัน โดยเลือกเผ่าพันธุ์ที่มีตัวละครและภูมิหลังต่างกัน เช่น เผ่าคนแคระ หรือคนแคระที่เชี่ยวชาญงานหินและเหล็ก เผ่าเอลฟ์ผู้สูงศักดิ์ เผ่า Dragonborn ที่สืบเชื้อสายมาจากมังกร เป็นต้น รวมไปถึงการเลือกอาชีพที่แตกต่างกันออกไป ความสามารถต่างๆ เช่น Barbarian, Bard, Paladin, Rogue เป็นต้น ผู้เล่นแต่ละคนจะมี Character Sheet เพื่อบันทึกรายละเอียดของตัวละครที่เราสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าสถานะ ค่าประสบการณ์ต่างๆ
ผู้เล่นยังตัดสินใจที่จะดำเนินเรื่องโดยอิสระ โดย DM จะเล่าเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้น และควบคุมกฎเกณฑ์ต่างๆ ภายในเกม ซึ่งถือเป็นเสน่ห์หลักของเกม Dungeons & Dragons ปัจจุบัน Dungeons & Dragons ได้พัฒนาและปรับปรุงเกมเป็น 5 รุ่น

เมื่อชะตากรรมของโลกตกอยู่ในมือของหัวขโมยและนักผจญภัยที่ดูเหมือนเข้ากันไม่ได้

ดันเจียนส์ & ดราก้อนส์: เกียรติยศในหมู่โจร เป็นเรื่องราวของเอลจิน (คริส ไพน์) กวีและหัวขโมยผู้มีเสน่ห์ที่ขโมยสิ่งของมีค่าไปให้คนร้ายที่อันตราย นอกเหนือจากการปล่อยปีศาจที่ดุร้ายที่สุดในตำนานแล้ว Elgin ยังต้องผนึกกำลังกับนักผจญภัยที่ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้ รวมถึงนักรบหญิงผู้ทรงพลัง โฮลกา เดอะ บาร์บาเรี่ยน (มิเชล โรดริเกซ), อัศวินศักดิ์สิทธิ์ เซงค์ (เรจ-ฌอง เพจ), จอมเวทย์หนุ่ม ไซมอน (จัสติส สมิธ) และอาวล์แบร์ ดอริก (โซเฟีย ลิลลิส) เพื่อหยุดความวุ่นวาย

หนังที่เซอร์ไพรส์ฮาจัด ทำเอาตกหลุมรักกันไปเลย

หนังได้เลือกอาชีพของตัวละครในแบบที่คลาสสิคมาก นั่นคือการใช้อาชีพและคลาสตัวละครจากเกมกระดานยุคแรก ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักรบหรือคนป่าเถื่อน Magi หรือ Priest มาพร้อมกับโจรและ Paladin หรือ Magic Knight นอกจากนี้ยังเสริมด้วยเผ่าพันธุ์ดรูอิดิกหรือปีศาจที่มีพลังในการแปลงร่าง นอกจากนี้ตัวหนังยังพาเราไปเยี่ยมชมเมืองชื่อดังมากมายในเกมผ่านการเดินทางของตัวละครอีกด้วย
ถึงจุดนี้สำหรับคนที่ไม่เล่นเกมก็อาจจะเริ่มกังวลว่า แบบนี้ คงจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ซึ่งเป็นเรื่องจริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลายครั้งที่หนังพูดถึงชื่อเฉพาะซึ่งทำให้คุณอยากรู้ว่าชื่อเหล่านั้นคืออะไร แต่ก็ไม่ได้มากจนไม่สามารถดูหนังได้ ต้องบอกว่าผู้สร้างอาจดึงดูดผู้ดูภาพยนตร์มากกว่านักเล่นเกม เพราะถึงแม้จะไม่ได้ให้ความรู้เบื้องหลังของโลกนั้นมากนัก แต่มันก็ค่อยๆ บอกให้เราเข้าใจมันจากความก้าวหน้าของเรื่องราวอย่างไม่หยุดยั้ง
ความจำเป็นในการทำให้เรื่องราวเข้าใจง่ายได้รับการชดเชยด้วยการให้ข้อมูลที่ผู้เล่นประเภทนี้จะเข้าใจ มันเป็นดาบสองคมเพราะโครงสร้างการเล่าเรื่องเรียบง่ายจนต้องบอกว่าหนังเกือบจะเป็นสูตรให้เราเดาขั้นตอนต่อไปตลอดเรื่องได้อย่างง่ายดาย และถึงแม้มนต์เสน่ห์แห่งความบันเทิงจะหล่อเลี้ยงเราให้สนุกจนลืมความธรรมดาไปนานแสนนานเมื่อหนังมีความยาวกว่า 2 ชั่วโมง ในภาคสองของหนังที่น่าจะเพิ่มระดับความสนุกให้ถึงขีดสุด เรารู้สึกว่าหนังมันหมดความสนุกไปแล้ว มาไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่หนังมีสถานการณ์หลายอย่างที่ทำให้เราลืมไปว่ามันเชยแค่ไหน มีสถานที่ ผู้คน และจุดเปลี่ยนเพื่อเพิ่มฉากแอ็กชั่นที่หลากหลาย จากคุกอันเย็นชา สนามรบรกร้างที่มีแต่ผี มหานครแห่งเกมเอาชีวิตรอด ดันเจี้ยนลับใต้ดินที่มีมังกรยักษ์ สู่สังเวียนมรณะ พูดแค่นี้ก็คงจะจินตนาการได้ว่านี่คือหนังแอคชั่นแฟนตาซีประเภทที่เด็กๆชื่นชอบ มีเรื่องให้ตื่นเต้นมากมาย หัวใจของฉันพองโตไปกับมัน
และอีกอย่างที่ทำให้หนังแฟนตาซีเกรดบีเรื่องนี้มีเสน่ห์มากก็คือบทที่สร้างตัวละครแต่ละตัวออกมาได้น่าสนใจมากมีมุขตลกมากมายซึ่งหลายเรื่องก็ต้องยอมรับว่าเป็นมุขตลกดี นี่แหละครับแต่จังหวะของเรื่องก็ตรงมาก ทำให้คุณหัวเราะออกมาดังๆ บ่อยๆ โดยไม่คิดว่าคุณจะหัวเราะดังๆ กับหนังเรื่องนี้จริงๆ สิ่งที่เห็นในตัวอย่างจริง ๆ แล้วกลับกลายเป็นว่าในภาพยนตร์มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะทีมปล้นของพระเอก เคมีระหว่างพวกเขายอดเยี่ยมมาก ไพน์เองก็มีเสน่ห์ไม่หยุดหย่อน อารมณ์ขันที่พูดเร็ว มืดมน และไร้อารมณ์ของเขาช่วยได้มาก ผมจะบอกว่ามันมีกลิ่นอายของความรำคาญและความฮา ไม่ต่างจาก ‘Guardians of the Galaxy’ (2014) ของ Marvel ในธีมของโลกแฟนตาซียุคกลาง

บทส่งท้าย

เป็นเวลานานแล้วที่เราได้เพลิดเพลินกับหนังที่สนุกสนานและเป็นธรรมชาติขนาดนี้ เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์มากไม่คิดว่าหนังแบบนี้จะทำให้เราหลงรักได้มากขนาดนี้ ถ้าเทียบความรู้สึกก็คงจะคล้ายๆ กับตอนที่บังเอิญเห็นแล้วหลงรัก ‘Stardust’ (2007) ผลงานชิ้นที่ 2 ของผู้กำกับ Matthew Vaughn ก่อนที่เขาจะโด่งดังจากโปรเจ็กต์แฟชั่นของเขา แฟรนไชส์ยอดฮิตอย่าง ‘Kick-Ass’ และ ‘Kingsman’ ต่อมา หนังไม่ได้มีโทนเดียวกันแต่ความประทับใจจากการดูยังเหมือนเดิม เชื่อกันว่าผู้กำกับสองคน Daley และ Goldstein อาจทำให้ ‘Dungeons & Dragons’ กลับมาเป็นแฟรนไชส์ที่สนุกสนานสุดๆ พร้อมภาคต่อที่แฟนหนังรอคอยมากที่สุด หรืออาจเป็นก้าวแรกที่จะพาพวกเขาไปแสดงในภาพยนตร์เรื่องต่อไปกับบริษัทที่ใหญ่กว่า น่าดู

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *